พิณ
พิณ เป็นเครื่องดนตรีประเภทมีสายขึงตึงใช้ดีดบรรเลง เรียกตามภาษาบาลีและสันสกฤตว่า “ วีณา “ เป็นเครื่องดนตรีที่พบเห็นในหลายเชื้อชาติเพียงแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกัน มีรูปร่างลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยสายใช้ดีด สิ่งที่น่าเชื่อว่า พิณเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่นั้นเท่าที่ปรากฏหลักฐานในไทย คือ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุปูนปั้น บริเวณซึ่งในอดีตเป็นที่ตั้ง อาณาจักรสุวรรณภูมิ ปัจจุบันคือตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ราว พุทธศตวรรษที่ 13 สูง 67.5 ซม. ซึ่งปั้นเป็นรูปนางทั้งห้าบรรเลงดุริยะดนตรี นางหนึ่งบรรเลงพิณเพียะ หรือพิณน้ำเต้า นางหนึ่งดีดพิณห้าสาย สังเกตจากตรงคอของคันทวนที่เสียบลูกบิด มีรูปร่างแบนๆ คล้ายคอกีตาร์ ข้างหนึ่งมี 3 อัน อีกข้างมี 2 อัน ตัวพิณมีรูปร่างรียาวคล้าย “ ปิปะ “ ของจีนหรือพิณของชาวอีสานในปัจจุบัน นางหนึ่งตีกรับ นางหนึ่งตีฉิ่ง และอีกนางหนึ่งขับลำนำ
หลักฐานทางวรรณคดี
1.จากวรรณคดี เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง พญาลิไทกษัตริย์กรุงสุโขทัย ร.4 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ เมื่อปี พ.ศ. 1903 กล่าวถึงพิณ ว่า
“ เสียงนั้นดังเพราะหนักหนา และเพราะกว่าเสียงพาทย์ เสียงพิณ ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ฟังเสียงกลองใหญ่ กลองราม กลองเล็ก และฉิ่งแฉ่ง บัณเฑาะว์ เสนาะ วังเวง ลางคนตีกลอง ตีพาทย์ ฆ้องกรับ สัพพทุกสิ่ง บางจำพวกดีดพิณและสีซอพุงตอ “
( ศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ 2512 : 164 )
“ พุทธประวัติ “ ตอนที่ พระอินทราธิราชเสด็จลงมาดีดพิณ 3 สายถวายเพื่อเป็นอนุสติแก่พระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์ทรงตรัสรู้สำเร็จสัมโพธิญาณ ว่า “ การบำเพ็ญเพียรแสวงหาโฆกษธรรมนั้นถ้าเคร่งครัดนักก็เปรียบเสมือนการขึ้นสายพิณให้ตึงเกินไปย่อมขาด ถ้าหย่อนยานนักย่อมไม่มีเสียงไพเราะ แต่ถ้าทำอยู่ในขั้นมัชฌิมาปานกลาง ก็เหมือนการขึ้นสายพิณแต่พอดีกับระดับเสียง ย่อมให้เสียงดังกังวานไพเราะแจ่มใสดังใจความในวรรณคดี เรื่อง “ พระปฐมสมโพธิกถา “ พระราชนิพนธ์ ของสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ว่า
“ ขณะนั้น สมเด็จอมรินทราธิราช ทราบในข้อปริวิตก ดังนั้นจึงทรง พิณทิพย์สามสาย มาดีดถวายพระมหาสัตย์ สายหนึ่งเคร่งนักพอดีดก็ขาดออกไป เข้าก็ไม่บันลือเสียง และอีกสายหนึ่งนั้นไม่เคร่งไม่หย่อนปานกลาง ดีดเข้าก็บันลือศัพท์ไพเราะเจริญจิต พระมหาสัตย์ได้สดับเสียงพิณ ก็ถือเอานิมิตอันนั้นทรงพิจารณาเห็นแจ้งว่า มัชฌิมาปฏิบัตินั้นเป็นหนทางพระโพธิญาณ “
( สมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส 2526 : 113 )
พิณสมัยโบราณแต่เดิมคงใช้กระโหลกทำด้วยผลน้ำเต้าแห้ง ทำให้เสียงก้องกังวานเช่น พิณโบราณ จึงมีชื่อเรียกว่า “ พิณน้ำเต้า “ พิณ มีชื่อเรียกต่างกันตามภูมิภาค คือ ซุง , ซึง ,โตดต่ง ชาวผู้ไท เรียกพิณว่า “ กระจับปี่ “ พิณมีสายตั้งแต่ 1 – 2 – 3 – 4 สาย
ชนิดของพิณ
พิณในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยจำแนกเป็นสองประเภท ดังนี้
1.ประเภทที่ดีดเพื่อผลิตหางเสียง ขึ้นมาก่อนแล้วจึงใช้หางเสียงนั้นบรรเลงเป็นเพลง คำว่าหางเสียง OVERTONE หรือ UPPER – PARTIAL อันเป็นเสียงที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเสียงประเภทหนึ่งในตระกูลเดียวกัน ได้แก่
1.1 พิณน้ำเต้า
เป็นเครื่องดีดที่เดิมใช้สายเอ็นสัตว์ตากแห้ง และพัฒนามาใช้ไหม ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสายโลหะมีเพียงสายเดียว พิณน้ำเต้าเป็นเครื่องดนตรีของไทยที่เก่าแก่มากที่สุดที่ยังมีการเล่นสืบต่อกันมามีหลงเหลืออยู่ทางอีสานใต้ของประเทศไทยหลายท้องถิ่นเวลาดีดผู้เล่นจะไม่สวมเสื้อ ใช้นิ้วมือซ้ายถือทวนคันพิณ การถือทวนคันพิณทำได้โดยง่ายเพียงวางโคนของทวนคันพิณลงที่ง่ามมือซ้ายระหว่างโคนหัวแม่มือกับส่วนโคนของนิ้วชี้ ส่วนปลายของนิ้วชี้ ,ปลายนิ้วกลาง ,ปลายนิ้วนาง และนิ้วก้อยพร้อมที่จะกดลงที่สายของพิณเพื่อทำให้เกิดเสียงสูง-ต่ำ ให้เป็นทำนองเพลง แล้วเอากระโหลกพิณประกบติดกับหน้าอกซ้ายของผู้เล่นใช้มือขวาดีดสาย ที่นิ้วนางของผู้บรรเลงสวมปลอกโลหะเป็นเครื่องดีดแล้วขยับกระโหลกน้ำเต้าเปิดปิดที่หน้าอกทำให้เกิดเสียงก้องกังวาน
1.2 พิณเพียะ มีลักษณะคล้ายพิณน้ำเต้าแต่มี 2 สาย กระโหลกซอทำด้วยลูกน้ำเต้าตัดครึ่งหรือกะลามะพร้าวก็ได้ วิธีดีดเหมือนกันกับพิณน้ำเต้า คลอเสียงร้องของตนเอง นิยมเกี้ยวสาวเวลากลางคืนเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านทางภาคเหนือ
2.ประเภทดีดที่สายโดยตรง
1.กระจับปี่
คำว่า “ กระจับปี่ “เข้าใจว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “กัจฉปิ” เป็นคำชวาเพี้ยนเป็น“ แขฺสจาปิ“
หรือ “แคชจาเป็ย” ในภาษาขอม ในภาษาบาลีสันสกฤต คำว่า กัจฉปะ แปลว่า เต่า เพราะแต่เดิม
กระโหลกพิณมีรูปร่างคล้ายเต่า กระจับปี่เป็นเครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่งของอินเดีย จัดเป็นเครื่องดนตรีในกลุ่ม ”วีณา” (พิณ) มี 4 สายมีตะพานหรือนมสำหรับกดสาย 11 อัน หรือ 11 ขั้น มีที่ดีดสายทำด้วยเขาสัตว์
2.ซึง
เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านทางภาคเหนือ มี 4 สาย ลักษณะเหมือนกระจับปี่แต่เล็กกว่า
รูปร่างคล้าย ” เหยอะฉิน “ ของจีน แต่ปลายคันทวนของจีนมักจะสลักเป็นรูปมังกร แต่คันทวนของซึงทางภาคเหนือทำให้แบนและงอมาทางด้านหน้าไม่แกะสลักเป็นรูปหัวพญานาคหรือหัวหงส์
3.ซุง
ชาวอีสานมักเรียกพิณว่า “ ซุง “ หรือ โตดติต่ง ตามสำเนียงของเครื่องดนตรี ซุง มี 2 – 3 และ 4 สาย แต่ปัจจุบันนิยมเล่น 3 สาย ซุงพื้นบ้านนิยมใช้สายจากลวดเบรครถจักรยานทั้ง 3 สาย ปัจจุบันนิยมใช้สายกีตาร์สาย 1 สาย 2 และสาย 3 เพราะหาง่าย สะดวกในการใช้ ซุง นิยมทำจากไม้ขนุน
( ไม้หมากมี่ ) เพราะเบาทำง่าย ให้เสียงไพเราะ ปลายคันทวนนิยมแกะสลักเป็นหัวพญานาค หางพญานาค หรือหัวหงส์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวอีสาน
1.ขั้นแบ่งเสียง ( ขั้นพิณ )
ทำจากซี่ไม้ไผ่แบนผิว ( ด้านติว ) ขึ้นรองรับสาย ยึดติดคอพิณด้วยขี้สูดหรือกาว
2.หย่อง ทำจากซีกไม้ไผ่เหลาให้แบนมีผิวด้านหนึ่งแต่งรูปให้โค้งนิดหน่อยและปาดความสูงให้พอเหมาะกับการพาดสายให้ห่างจากระดับคอพอที่จะกดนิ้วได้สะดวก
3.ลูกบิด ทำจากไม้เนื้อแข็งปลายแบนกลม มี 3 ตัว ตามจำนวนสาย
4.สายพิณ ทำจากลวดเบรกรถจักรยาน โบราณใช้สายไหมฝั้นจนเหนียวแน่นไม่ขาดง่ายหรือสายทองเหลืองแบบสายขิมก็ได้ แต่ปัจจุบันนิยมใช้สายกีตาร์สาย 1 สาย 2 สาย 3
5.ตัวพิณ นิยมทำจากไม้ขนุนเพราะเบา ให้เสียงไพเราะ มีขนาดยาว ประมาณ 80 ซม. โดยวัดจากลูกบิด จนถึงเต้าพิณไม่รวมความยาวของหัวพญานาค ถ้าเต้าพิณมีกล่องเสียงใหญ่จะมีเสียงทุ้มดังดีกว่าพิณขนาดเล็กและตื้น
6. หัวพญานาค แกะจากไม้เนื้ออ่อน
7. รูเสียง คือ ปล่องหรือรูบริเวณตรงกลางตัวพิณทำให้เกิดเสียง
8. ที่ยึดสายพิณ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งใช้ยึดสายพิณระหว่างลูกบิดกับตัวพิณ
การดูแลรักษา
1.การเก็บควรมีกล่องหรือถุงที่เย็บเรียบร้อยเพื่อป้องกันการแตกหักเวลาเคลื่อนย้าย
2.เมื่อใช้งานแล้ว ควรลดสายลงเล็กน้อยเพื่อรักษาสายให้ใช้งานได้นาน
3. พิณโปร่งเมื่อขั้นพิณหลุดควรใช้ขี้สูดหรือกาวลาเท็กซ์ติดไว้ตำแหน่งเดิมถ้าพิณไฟฟ้าปัจจุบันนิยมใช้เฟร็ตกีตาร์แทนขั้นไม้
4.เมื่อใช้งานนาน ๆ เสียงจะเพี้ยน ให้เปลี่ยนสายใหม่
5.ปิ๊กหรือไม้ดีด สมัยก่อนใช้เขาควาย ปัจจุบันนิยมใช้ปิ๊กกีตาร์ดีด คงเพราะซื้อหาสะดวก บางที่ใช้ขวดน้ำ
พลาสติคหรือบัตรโทรศัพท์ใช้แล้วตัดเป็นรูปทรงปิ๊กกีตาร์ก็มี
6.หลังใช้งานทุกครั้งควรใช้ผ้าสะอาดเช็ดสายเพราะสายพิณจะมีความชื้นจากเหงื่อทำให้เป็นสนิมได้ง่าย
การติดขั้นตั้งบันไดเสียง
การติดขั้นตั้งบันไดเสียงลงบนคอพิณแต่เดิม สามารถเลื่อนตำแหน่งขั้นเสียงได้เพราะติดขั้นด้วยขี้สูดหรือชันโรง (ปัจจุบันนิยมติดขั้นด้วยกาวเพื่อความคงทนไม่หลุดง่าย ) ทำได้ 2 แบบ คือ
1.ติดขั้นตามเสียงโปงลาง ส่วนมากจะตั้งระดับ 5 เสียงคือ ลายใหญ่ ได้แก่เสียง โด เร มี ซอล ลา
ส่วนลายเล็กได้แก่ เสียง ลา โด เร ฟา ซอล แต่ปัจจุบันวงโปงลางได้เพิ่มเสียงเป็น 6 เสียง ถึง 7 เสียง แล้ว เพื่อให้สามารถเล่นเพลงได้หลายประเภททั้งหมอลำ ลูกทุ่ง ลูกกรุง แม้กระทั่งเพลงสตริง
2. ติดขั้นตามเสียงแคนแปด มีเสียงครบ 7 เสียง คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที สามารถใช้บรรเลงได้หลายบันไดเสียง เช่น ทางไมเนอร์ คือ Am , Dm ทางเมเจอร์ คือ C , F เป็นต้น
อักษรย่อภาษาอังกฤษ C D E F G A B
ตรงกับชื่อของตัวโน้ตดังนี้ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
ใช้อักษรย่อแทนชื่อตัวโน้ต ด ร ม ฟ ซ ล ท
แบบที่ 1 ตั้งตามเสียงโปงลาง ถ้าพิณ 2 สาย
ลายใหญ่ จะตั้งสาย 1 เสียง มี สาย 2 เสียง ลา
ลายน้อยจะตั้งสาย 1 เสียง เร สาย 2 เสียง ลา
ดังตารางเสียงพิณ ลายใหญ่
7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
มี
|
เร
|
โด
|
2.ลาต่ำ
|
ลา
|
ซอล
|
มี
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
1.มี
|
ลายน้อย
7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
ซอล
|
ฟา
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
2.เรต่ำ
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
เร
|
โด
|
1.ลา
|
การตั้งพิณ 3 สาย
ลายใหญ่จะตั้ง สาย 1(สายเอก) เสียง มี ,สาย 2(สายทุ้ม) เสียง ลา สาย 3 (สายเสพ) เสียง มีต่ำ
ลายน้อย ตั้ง สาย 1(สายเอก) เสียง ลา ,สาย 2 (สายทุ้ม)เสียง เร สาย 3 (สายเสพ) เสียง ลาต่ำ
“ สายเสพ ” มีหน้าที่ให้เสียงประสาน หรือ เสียงโดรน
* กรณีเล่นลายสุดสะแนน ตั้ง สาย 3(สายเสพ) เป็นเสียง ซอลต่ำ ดังรูป ลายใหญ่
7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
ลา
|
ซอล
|
มี
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
3.มีต่ำ
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
มี
|
เร
|
โด
|
2.ลา
|
ลา°
|
ซอล°
|
มี°
|
เร°
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
1.มี
|
ลายน้อย
7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
เร
|
โด
|
3.ลาต่ำ
|
ซอล
|
ฟา
|
เร
|
โด
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
2.เร
|
เร°
|
โด°
|
ลา°
|
ซอล°
|
ฟา
|
เร
|
โด
|
1.ลา
|
แบบที่ 2 ตั้งตามเสียงแคน 8 เสียง
ถ้าพิณ 3 สาย ลายใหญ่จะตั้ง สาย 1 เสียง มี สาย 2 เสียง ลา สาย 3 เสียง มีต่ำ
ลายน้อยจะตั้ง สาย 1 เสียง ลา สาย 2 เสียง เร สาย 3 เสียง ลาต่ำ ดังรูป
ลายใหญ่
11 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
เร
|
โด
|
ที
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา#
|
ฟา
|
3.มีต่ำ
|
เร
|
โด
|
ที
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
เร
|
โด
|
ที
|
ทีb
|
2.ลา
|
ลา°
|
ซอล°
|
ฟา°
|
มี°
|
เร°
|
โด°
|
ที
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา#
|
ฟา
|
1.มี
|
ลายน้อย
11 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 สายเปล่า
เร
|
โด
|
ที
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
เร
|
โด
|
ที
|
ทีb
|
3.ลาต่ำ
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
เร
|
โด
|
ที
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
มีb
|
2.เร
|
เร°
|
โด°
|
ที°
|
ลา
|
ซอล
|
ฟา
|
มี
|
เร
|
โด
|
ที
|
ทีb
|
1.ลา
|
หมายเหตุ
การติดขั้นพิณบางวงได้เพิ่มขั้นครึ่งเสียงระหว่างสายเปล่ากับช่องที่ 1 ทำให้เกิดครึ่งเสียงช่องที่ 2 ถ้าลายใหญ่ก็ได้เสียง ฟาชาร์ป F# สาย 3 , เสียงที B สาย 2 , เสียงฟาชาร์ป F# สาย 1
ถ้าลายน้อยก็ได้เสียงที สาย 3 , เสียงมี สาย 2 , เสียงที สาย 1 การตั้งสายพิณ
หรือเทียบสายทั้ง 2 สายและ 3 สาย ควรตั้งสายให้ถูกต้องตามระดับเสียง ถ้าไม่มีแคนหรือโปงลางสามารถตั้งสายโดยเทียบเสียงเปียโน หรือหลอดเป่าเทียบเสียงที่มีขายตามร้านจำหน่ายเครื่องดนตรีทั่วไปก็ได้
ภาพพิณหัวพญานาค
ภาพพิณหัวหงส์
การฝึกดีดพิณ
การเรียนดนตรีหัวใจสำคัญคือ การฝึก ผู้เรียนต้องฝึกฝน ฝึกร้องโน้ต ฝึกฟังเพลง
และอย่ายอมแพ้ต่อความเพียร
ผู้ดีดพิณสามารถนั่งหรือยืนดีดก็ได้ ท่านั่งควรวางเต้าพิณหรือตัวพิณไว้บนขาขวาหรือขาซ้ายที่ถนัด
สามารถนั่งได้หลายแบบ เช่น นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งเก้าอี้ ตามแต่ผู้ดีดถนัด การกำมือซ้ายที่คอพิณ ควรกำอย่างหลวม เพื่อสามารถเคลื่อนย้ายนิ้วไปตามคอพิณได้สะดวก โดยใช้หัวแม่มือซ้ายดังรูป
การวางนิ้วบนคอพิณ ผู้ดีดควรใช้นิ้วชี้ในขั้นหรือช่องที่ 1 – 2 , นิ้วกลางขั้นที่ 3 , นิ้วนางขั้นที่ 4 ,
ดังตัวอย่าง
ภาพนิ้วชี้ในขั้นหรือช่องที่ 1 – 2 ภาพนิ้วกลางขั้นที่ 3 ภาพนิ้วนางขั้นที่ 4
วิธีดีดพิณ
1.ผู้ดีดสามารถนั่งหรือยืนดีดก็ได้ ท่านั่งควรวางเต้าพิณหรือตัวพิณไว้บนขาขวา
( ถ้าถนัดซ้ายก็วางไว้ด้านซ้าย)
2.งอข้อศอกขวาเล็กน้อยแขนขวาวางบนขอบเต้าพิณ มือขวาที่ใช้ดีด จับปิ๊กด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้
( บางคนถนัดใช้นิ้วกลางแทนนิ้วชี้ )
3.เอียงคอพิณให้ทำมุมประมาณ 30 – 60 องศา ดังรูป
ภาพการจับพิณ
4.ฝึกใช้ข้อมือเคลื่อนไหวจับปิ๊กดีดสายเปล่า สาย 1 - 2 - 3 ขึ้นลง สลับกันไป จากช้าค่อยๆ เร็วขึ้น
จนเกิดความคล่องตัว
5.มือซ้ายทำหน้าที่เคลื่อนย้ายไปตามตำแหน่งบนคอพิณ โดยใช้หัวแม่มือวางบนคอพิณนิ้วชี้ - กลาง - นาง - ก้อย กดปลายนิ้วลงบนสายพิณ การกดสายควรกดเบา ๆเหนือขั้นเสียงเล็กน้อยเพื่อเสียงจะไม่เพี้ยน
6.การดีดสายให้เสียงรัวคือการดีด ขึ้นลงสลับกันโดยใช้อัตราจังหวะเร็วที่สุด ( เคาะหนึ่งจังหวะให้ดีดสลับ
ขึ้นลงประมาณ 8 ครั้ง )
7.ตำแหน่งที่ดีดสายควรดีดสายบริเวณรูเสียง เพื่อให้เสียงกังวาน
8.การจับปิ๊กใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับ บางคนถนัดใช้นิ้วกลางแทนนิ้วชี้ ไม่ควรจับแน่นหรือเบาจนเกินไป
เพื่อไม่ให้ปิ๊กหลุดมือขณะดีด
ภาพการจับปิ๊กดีด
9.การดีดพิณตามโน้ตเพลงใช้วิธีการอ่านแบบเดียวกับโน้ตโปงลาง คือ
สัญลักษณ์ดีดขึ้น ↑ ดีดลง ↓
* การดีดพิณ พอจะสรุปได้ว่า ดีดขึ้น จังหวะที่ 1 และ 3 ดีดลงจังหวะที่ 2 และ 4 การดีดเสียงให้ชัดเจน
ให้ใช้ปลายนิ้วกดให้ชิดด้านซ้ายขั้นพิณให้แน่น จึงดีดสายบริเวณรูเสียง เสียงที่ได้จะดังชัดเจน
การฝึกดีดพิณเบื้องต้น
ฝึกดีดสายเปล่าสายที่ 1 เสียง มี บรรทัดที่ 1 ( ขึ้น ลง ขึ้น ลง ) ,บรรทัดที่ 2 ( ขึ้น - ขึ้น - ) บรรทัดที่ 3 ( - ลง - ลง ) , บรรทัดที่ 4 ( ขึ้น ลง - - )
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม ม ม ม
1 2 3 4
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
ม - ม -
1 - 3 -
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
- ม - ม
- 2 - 4
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
ม ม - -
1 2 - -
|
* เครื่องหมาย - ไม่ต้องดีด แต่ให้นับ หนึ่งจังหวะ หรือเคาะหนึ่งครั้งในใจ
ฝึกดีดสายเปล่าสายที่ 2 เสียง ลา
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล ล ล ล
1 2 3 4
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
ล - ล -
1 - 3 -
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
- ล - ล
- 2 - 4
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ล ล - -
1 2 - -
|
ฝึกดีดสายเปล่าสายที่ 3 เสียง มี
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↓ ↑↓
ม ม ม ม
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↑ ↑
ม - ม -
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↓ ↓
- ม - ม
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
↑ ↓
ม ม - -
|
* เมื่อฝึกดีดสายเปล่าทั้ง 3 สาย ตามโน้ตจนคล่องแล้วก็ฝึกดีดสลับสาย 1 และ 2 ดังนี้
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
* ข้อสังเกต คือ การดีดตามโน้ตสาย 1 และ 2 จะดีดลง
ฝึกดีดสลับสาย 2 และ 3 ดังนี้
สายเปล่า 2 เสียง ลา สายเปล่า 3 เสียง มี
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
↓ ↓
- ล - ม
|
* ข้อสังเกต คือ การดีดตามโน้ตสาย 2 และ 3 จะดีดลง
การดีดสลับขึ้นลง 3 ตัวโน้ต
เป็นการดีดสลับสายเปล่า 1 ( เสียง ม ) ดีดลง และสายเปล่า 2 ( เสียง ล ) ดีดขึ้น
เมื่อฝึกจนคล่องแล้วผู้ฝึกสามารถใช้กับโน้ตอื่นได้ และอย่าลืมเคาะจังหวะที่ 4 ของห้อง
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
↓ ↑ ↓
- ม ล ม
|
การดีดสลับขึ้นลง 4 ตัวโน้ต
เป็นการดีดสลับสายเปล่า 1 ( เสียง ม ) และสายเปล่า 2 ( เสียง ล )
เมื่อฝึกจนคล่องแล้วผู้ฝึกสามารถใช้กับโน้ตอื่นได้ และอย่าลืมเคาะจังหวะที่ 4 ของห้อง
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
↑ ↓↑ ↓
ม ม ล ม
|
* สัญลักษณ์ ดีดขึ้น ↑ ดีดลง ↓
การดีดรัว เพื่อให้เกิดเสียงหวาน
เป็นการดีดสลับขึ้นลง ให้มีความถี่หรือเร็วที่สุด โดยดีดลงก่อนเสมอ
ตามโน้ต ดีดสายเปล่า 1 ( เสียง ม )
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
ตามโน้ต ดีดสายเปล่า 2 ( เสียง ล )
↓
- - - ล
|
- - - -
|
↓
- - - ล
|
- - - -
|
↓
- - - ล
|
- - - -
|
↓
- - - ล
|
- - - -
|
ตามโน้ต ดีดสายเปล่า 3 ( เสียง ม )
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
↓
- - - ม
|
- - - -
|
เมื่อฝึกดีดตามโน้ตจนคล่องแล้ว ต่อไปให้ฝึกไล่เสียงจากสายบน( สาย 2 )ลงสายล่าง ( สาย 1 ) และสายล่างขึ้นสายบนตามโน้ต ดีดขึ้นลงตามสัญลักษณ์ ดังนี้
↑ ↓ ↑↓
ด ร ม ฟ
|
↑ ↓ ↑↓
ซ ล ท ด°
|
↑ ↓ ↑↓ด° ท ล ซ
|
↑ ↓ ↑↓
ฟ ม ร ด
|
↑ ↓ ↑↓
ด ร ม ฟ
|
↑ ↓ ↑↓
ซ ล ท ด°
|
↑ ↓ ↑↓
ด° ท ล ซ
|
↑ ↓ ↑↓
ฟ ม ร ด
|
คอร์ดพิณ ( ลายใหญ่ )
C 1
Am 3 2 1
F 3 2 1
Dm 3 2 1
Gm 3 2 1
Bb 3 2 1
G 3 2 1
Em 3 2 1
คอร์ดพิณ ( ลายน้อย )
F 3 2 1
Dm 3 2 1
Gm 3 2 1
C 3 2 1
Em 2 1
|